วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Tarotist : Éliphas Lévi

สวัสดีครับทุกท่าน ต้องขออภัยด้วยที่ห่างหายจากการอัพ blog ไปเนื่องจากวันหยุดยาวครับ สำหรับสัปดาห์นี้เพื่อเป็นการชดเชยทางผมจะ Up บทความให้ 2 บทความเลยครับ สำหรับหัวข้อที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกหัวข้อหนึ่งคือ Tarotist หรือ ประวัติของนักศึกษา Tarot นั่นเองครับ

โดยในหัวข้อนี้ผมจะไม่เรียงลำดับตามช่วงเวลาเกิดนะครับ (ประมาณว่าผมแปลของคนไหนเสร็จก่อนก็จะนำลงใน Blog ก่อนครับ) งั้นก็ขอเริ่มกันที่บุคคลสำคัญคนแรกก่อนเลย สำหรับบุคคลนี้จะเรียกว่าเป็นผู้ริเริ่มการตีความและให้ความหมายไพ่ตามที่เราใช้กันมาจนปัจจุบันก็ว่าได้ครับอันนี้ไม่ลงไม่ได้เลยครับ



Éliphas Lévi
ประวัติคร่าวๆ :
Eliphas Levi (1810-1875) ชื่อเดิมคือ Alphonse – Louis Constant เป็นผู้ศึกาศาสตร์ลึกลับ และ Magus ชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการฟื้นฟูศาสตร์เกี่ยวกับบเวทย์มนต์ และเป็นผู้พัฒนาไพ่ Tarot ที่ใช้กันในยุคใหม่ และยังเป็นผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ ต่อนักศึกษาศาสตร์ลึกลับและนักศึกษาเกี่ยวกับ Tarot ในปัจจุบัน

High light :
1835 – Ordain a Catholic deacon
1841 – 42 : ถูกจำคุก 8 เดือนจากการเขียนและตีพิมพ์หนังสือที่สั่งสอนเกี่ยวกับแนวความคิดที่ต่อต้านมุมมองของศาสนาและการปกครองในสมัยนั้น จึงถูกมองว่า ขาดศรัทธาและพยายามล้มล้าง ระบบศาสน่า
1854 : ทำพิธีอัญเชิญ Magus ในตำนาน “Apollonius of Tyana” ได้สำเร็จ (แต่อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ไม่มีพยานรู้เห็น)
1854 – 55 : เผยแพร่ Dogma et ritual de la haut magie (Transcendental Magic)
1860 : เผยแพร่ Histoire de la Magie (The History of Magic)

His Life:
Alphose Louis Constant เป็นบุตรชายของช่างทำรองเท้าผู้ยากจน เกิดในปารีสในปี 1810 เขาเป็นเด็กฉลาดและตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และเคร่งในศาสนา
เขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนสอนศาสนา Saint –Sulpice ซึ่งเป็นที่ๆเขาเข้ารับการฝึกฝนเพื่อจะเป็นพระสงฆ์ และได้เข้าเป็น เณร

หมายเหตุ : ในที่นี้ไม่ใช่เณรของศาสนาพุทธนะครับ สำหรับศาสนาคริสต์ (หมายถึงคาทอลิก หรือ คริสตังค์ ที่คนไทยเรียกๆกัน )การจะบวชเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ง่ายเหมือนกับของศาสนาพุทธพระสงฆ์เมื่อบวชแล้วจะต้องเป็นพระสงฆ์ไปตลอดชีวิตและไม่สามารถมีครอบครัวได้ (ไม่เหมือนของคริสเตียนนะครับ) บุคคลที่จะบวชได้นั้นจะต้องเข้าศึกษาได้ โรงเรียนสอนศาสนา (ของไทยเรียกกันว่าบ้านเณร) ต้องศึกษาตั้งแต่ระดับประถม ไปถึงมัธยม และ มหาวิทยาลัย โดยที่จะมีการศึกษาภาคปรกติ และมีการศึกษาเกี่ยวกับหลักศาสนาและความเชื่อเพิ่มเติมเข้าไป เมื่อ เด็กที่เข้าบ้านเณรจนถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็จะ ถูกเรียกว่า Brother หรือ เณร ซึ่งเหล่า Brother เหล่านี้ก็จะศึกษาต่อในระดับ อุดมศึกษา และจะมีการให้ออกจากบ้านเณรเพื่อเป็น Brother ฝึกหัดที่ไปสอนเรียน หรือทำงานอื่นๆและให้พักอาศัยอยู่นอกบ้านเณร อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อเป็นการทดสอบความเชื่อว่า Brother เหล่านั้นจะมีความเชื่อมั่นและมั่นคงพอที่จะบวชเป็นพระสงฆ์ได้ (เพราะพระสงฆ์ของศาสนาคริสต์เมื่อบวชแล้วจะไม่สามารถ ลาสิกขาได้เหมือนของพุทธ) ซึ่งก็มีจำนวนมากเหมือนกันที่ออกจากบ้านเณร ไปในช่วงนี้ (ก็คือไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์นั่นเอง) ส่วนที่ยังคงยึดมั่นว่าจะบวชก็จะทำการศึกษาต่อ และเข้าบวชเป็นพระสงฆ์ หลังจากนั้นก็จะทำการ ปฏิญาณตน ว่าจะเป็นพระสงฆ์ ไปจนตลอดชีพ นี่คือระบบ พระสงฆ์ของศาสนาคริสต์ครับ

ในช่วงแรกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทำงานเกี่ยวกับศาสนาและเป็นผู้สอนคำสอนให้แก่เด็กผู้หญิงที่อยู่รอบๆโรงเรียนสอนศาสนานั้น แต่แล้ว! เขาก็ไปตกหลุมรัก Adèle Allenbach เด็กสาวที่เขาสอนคำสอนให้นั่นเอง
ในที่สุด Constant จึงไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์และออกจากโรงเรียนสอนศาสนาไป หลังจากนั้นไม่นาน มารดาซึ่งเป็นหม้ายของเขาก็ฆ่าตัวตาย

หลังจากเขาได้ทำงานเป็นนักแสดงช่วงสั้น ๆเขาก็ได้งานใหม่ เขาได้เข้าไปสอนในโรงเรียน Catholic แต่ด้วยแนวความคิดแบบ หัวเอียงซ้าย (หัวรุนแรงและเป็นพวกที่มีแนวความคิดต่อต้านรัฐ และศาสนจักรในขณะนั้น) แบบสุดๆของเขานี่เองเขาเผยแพร่ งานเขียนแนวเสียดสีประชดประชัน La Bible De Le Liberté (The Bible of Liberty) ออกมาในปี 1841 ทางรัฐได้ตั้งข้อหา ขาดความเชื่อ และเผยแพร่แนวความคิดที่ต่อต้านระบบ รัฐและศาสนา ทำให้เขาถูกจำคุกอยู่ 8 เดือน

พอพ้นโทษ เขาก็ได้ทำงานเป็นศิลปินอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ไปทำงานเกี่ยวกับศาสนาที่เขตการปกครองของ Bishop แห่ง Evreux แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกบีบให้ต้องออกจากงานเนื่องจากทาง Evreux ทราบว่า เขาเป็นผู้เขียน La Bible De Liberté
แต่อย่างไรก็ดีเขาก็ยังเวียบว่ายอยู่กับแวดวงศาสนาและงานเขียนอยู่ เขากลับมาที่ ปารีสและเริ่มทำงานเขียนอีกครั้งที่นี่เขาได้พบกับ Euǵenie C (ไม่ทราบนามสกุล) อีกครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาพบกับ Euǵenie มาแล้วที่ Evreux ซึ่งตอนนั้นเธอทำงานเป็นผู้ช่วย ของแม่อธิการ ของโรงเรียนสตรี เขาได้คบกันอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งเกิดเรื่องอีกคือ Constant ไปมีความสัมพัรธ์กับนักเรียนของ Euǵenie เข้าเธอชื่อ Noémi Cadiot ในวัย17ปีเท่านั้น Constant ทิ้ง Euǵenie ทันทีและแต่งงานกับ Noémi ในปี 1846

Constant ยังคงทำงานเขียนต่อไป เขาเขียนหนังสือรวมไปถึงบทความเกี่ยวกับศาสนา และงานเขียนอื่นๆอีกเยอะแยะ แต่ชีวิตแต่งงาน หรือการที่เขาถูกจำคุก ก็ยังไม่ทำให้ Constant หยุดความคิดแบบหัวเอียงซ้ายได้ เขามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับการใช้สำนวนไปในทางส่อเสียด และประชดประชัน และในที่สุด บทความแนวสังคมนิยมของเขาก็ทำให้เขาถูกจำคุกอีก 6 เดือน แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่ทำให้ Constant สงบได้ เขาก็ยังคงดื้อแพ่งที่จะเผยแพร่ Le Testament De la Liberté (The Testament of Liberty) ในปี 1848 แต่คราวนี้เขารอดครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่การปฏิวัติโหมกระหน่ำในยุโรปหลายๆประเทศ ฝรั่งเศสเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นาย Constant ก็เลยรอดจากการถูกจำคุกไป

New Name, New Career :
ในปี 1852 Constant ได้พบกับนักคณิตศาสตร์ และนักศึกษาศาสตร์ลึกลับผู้มีชื่อเสียงชาว โปแลนด์ Hoene Wronski นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Constant สนใจในศาสตร์ลึกลับเป็นอย่างมาก
ในช่วงเวลานั้น ศาสตร์ลึกลับของตะวันตก (Western Magical Tradition) ถูกมองในด้านลบผู้ที่ศึกษาศาสตร์ลึกลับเองก็ถูกมองแบบรังเกียจและเหยียดหยามเช่นกัน แต่ Constant ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาศึกษาศาสตร์ลึกลับต่อไป ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อของเขาตามหลักภาษาของฮีบรูในที่สุด นาม Éliphas Lévi ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา (ต่อไปนี้จะขอเรียกเขาว่า Lévi)

ปี 1853 ภรรยาของเขาหนีไปอยู่กับชายอื่นแต่นั่นก็ไม่ได้กระทบกับ Lévi เท่าใดนัก เขาเดินทางไป Lodon เพื่อท่องเที่ยวและศึกษาเพิ่มเติม และที่นี่เองที่เขาบอกกับทุกคนว่าเขาได้ทำพิธีอัญเชิญ Apollonius of Tyana : Magus ในตำนานขึ้นมาแต่อย่างไรก็ดีไม่มีพยานรู้เห็นกับสิ่งที่เขาบอก

แต่เรื่องนี้มีการบันทึกอยู่ในหนังสือเล่มสำคัญของ Lévi ชื่อ Dogma Et Rituel De La Harte Magie (Transcendental Magic) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากและมีการจัดพิมพ์อีกหลายต่อหลายครั้ง
เนื้อหาของหนังสือกล่าวถึงการผสมผสาน เวทย์มนต์ของตะวันตกเข้าด้วยกัน รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับ Kabalah การพยากรณ์ (รวมไปถึงเรื่องการใช้ Tarot) ดาราศาสตร์ การแปรธาตุ และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย แต่หนังสือนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ นักวิจารณ์หนังสือหลายคนติว่า เขาใช้คำที่เกินความจริง และมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและแหล่งที่มาของข้อมูลที่พิสูจน์ได้

Magus turn to Tarot :
ผลงานของ Lévi ที่เกิดจากการผสมผสานเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ ของ Lévi คือ Tarot เขาให้คำจำกัดความ Tarot ว่า “The Universal Key to Magical Work”
เขาได้ทำการผสมผสาน Tarot เข้ากับ Cabalah และธาตุทั้ง 4 ใน Dogma Et Rituel เขาเป็นคนแรกที่เขียน

• ไพ่หมายเลขทั้ง 10 ใบมีลักษณะเช่นเดียวกันกับ Sephiroth ทั้ง 10 ของ Cabalah
• ไพ่ทั้ง 4 ชุดมีลักษณะเช่นเดียวกันกับ ธาตุทั้ง 4 ได้แก่ Coin หรือ Pentacle คือธาตุดิน Scepter หรือ Wand แทนธาตุไฟ Cup แทนธาตุน้ำ และ Sword แทนธาตุลม
• ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนแรกที่ ทำการเชื่อมโยงไพ่ Tarot กับตัวอักษรฮีบรู แต่เขาเป็นคนแรกที่กำหนดให้ The Juggle หรือ Magician = Aleph, Popess หรือ High Priestess = Beth

แต่อย่างไรก็ดี Lévi ก็ยังคงล้มเหลวในการอ้างอิงด้วยเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าทำไมถึงเชื่อ Tarot เข้ากับ Cabalah หรือทำไม ไพ่ทั้ง 4 ชุดจึงเป็นตัวแทนของ ธาตุทั้ง 4 ธาตุ (แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ เราก็ยังใช้สิ่งเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน และใครจะเชื่อไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรืออะไรก็ตาม แต่ไพ่ Tarot เหล่านี้ก็มีความแม่นยำอย่างที่เราๆท่านๆทราบกันดี) นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่ Lévi ได้บันทึกและส่งผลมาให้พวกเราเห็นในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่ก็อ้างอิงจาก Dogma Et Rituel ครับยกตัวอย่างเช่น

• เครื่องหมาย Lemniscate (เครื่องหมายคล้ายกับเลข 8 แต่วางแนวนอน) ปรากฏบนหัวของ Juggler หรือ Magician และ ไพ่ Strength
• The Popess (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น High Priestress โดย Rider waite) สวมมงกุฏแห่งดวงจันทร์
• Empress แทนดาวศุกร์ (Venus)
• พระจันทร์ปรากฏใต้เท้าของ Empress
• Hermanubis (เทพเจ้าของอียิปต์) ที่อยู่ในไพ่ Wheel of Fortune ในด้านขวาและ Typhon (เทพเจ้าแห่งสงครามของอียิปต์) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของวงล้อ
• Temperance สวมรูป สี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เหนือ อก
สิ่งเหล่านี้ถึงแม้ว่า มีหลายๆข้อที่ Lévi ไม่สามารถหาข้อมูลเชิงวิชาการมาอ้างอิงได้แต่ก็ได้รับการยอมรับกันในหมู่ผู้ศึกษา Tarot กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ (Rider Waite เองก็ใช้ข้อมูลจาก Dogma Et Rituel สร้างไพ่ชุด Rider Waite มาใช้กันจนถึงปัจจุบันนี้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ฝาก Comment ไว้ที่นี่ได้นะครับ